ต้นไม้ต้นนี้อยู่กับผมมานาน ผมปลูกมันขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน ผมเฝ้าดูแล รดน้ำ ปกป้องมัน ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่ผมยอมให้สิ่งใดมาทำร้ายมัน อาจมีบางครั้งพลาดพลั้งไปบ้าง บางครั้งผมมารดน้ำไม่ตรงเวลา แต่ผมไม่เคยละเลย ผมดูแลมันอย่างดีมาตลอด ผมใช้ปุ๋ยยี่ห้อที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะมีปัญญาหามาได้ มันค่อยๆโตขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งโตขึ้น ยิ่งโตขึ้นมันก็ยิ่งสวยงามมากขึ้น ผมมีความสุขมากที่ได้ดูแลต้นไม้ต้นนี้ ภูมิใจที่ตนสามารถปลูกและเลี้ยงดูต้นไม้ที่สวยงามและใหญ่โตต้นหนึ่งได้ดีขนาดนี้ แทบจะเรียกได้ว่าผมภูมิใจกับมันที่สุดในชีวิต มันสวยงามมาก เกินจะบรรยาย ใครๆผ่านมาเห็นก็ต่างชมว่ามันสวย ชมว่าผมดูแลมันได้ดีมาก ผมอยู่กับมันมานานจนลืมไปแล้วว่าการใช้ชีวิตโดยไม่มีต้นไม้ต้นนี้ให้ดูแลมันเป็นยังไง...
ทุกวันนี้มันยังคงสวยงามเช่นเดิม ผมยังคงดูแลมันอย่างดี แม้ผมจะเริ่มเห็นความเหี่ยวเฉาของมัน ความไร้ชีวิตชีวาเริ่มปรากฏตามใบและกิ่งก้านแล้ว ความสูงของมันก็เพิ่มขึ้นอีกไม่ได้แล้ว ใครเดินผ่านไปมา ถ้าไม่สังเกตคงไม่รู้ว่าต้นไม้ต้นนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป และถ้าใครสังเกตเห็นคงเอาไปนินทาว่าเจ้าของมันดูแลไม่ดี แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะผมยังดูแลมันอย่างดีเช่นเดิม ผมยังคงมีความสุขที่ได้ดูแลมัน และผมจะดูแลมันต่อไป จนกว่าผมจะหมดแรงหรือจนกว่าเจ้าต้นไม้นี้จะตายไป อดีตเคยดูแลมันอย่างดีเพียงใด ผมจะทำให้ดีเช่นนั้นต่อไป...
แม้ต้องยืนรดน้ำอยู่คนเดียว แม้เจ้าต้นไม้มันจะไม่หยุดแห้งเหี่ยวก็ตาม
Nice Guy Billy's blog
Where there's thought, there's power!
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
สยอง ขนลุกขนพอง จนพี่ป๋องต้องยอม!!
ชื่อบทความอาจทำให้ใครๆงงนัก
อันดับ 4: Haute Tension - สับ สับ สับ (Alexandre Aja/2003)
หนังของผู้กำกับดาวรุ่ง (ณ
ขณะนั้น) สัญชาติฝรั่งเศส ที่มีความเกี่ยวพันกับหลักจิตวิทยาของมนุษย์อยู่มากโข นี่คือหนังที่เต็มไปด้วยความกดดัน ด้วยตัวเอกของเรื่องเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่ถูกตามล่าโดยฆาตกรโรคจิต มีหลายๆฉากที่ทำให้คนดูต้องระทึกด้วยความเงียบ ลุ้นไปกับนางเอกว่าจะเจออะไรข้างหน้า ในขณะนั้นคนดูก็ต้องฟังเสียงหัวใจใครเต้นไปด้วยก็ไม่รู้ มันน่ากลัวมาก! หนังเรื่องนี้ดูสนุก น่าลุ้น ตื่นเต้นปนเครียด ดูจบนี่ต้องนวดขมับไปอีก 5 นาที ไม่แปลกเลยที่ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้จะพาตัว Aja ไปไกลถึงการได้ทำรีเมคหนังคลาสสิคชั้นครูอย่าง The Hills Have Eyes และล่าสุดเพิ่งได้ทำหนังปลาปิรันย่าไล่ฆ่าคนบนจอสามมิติ!!
อันดับ 3: REC (Jaume Balaguero, Paco Plaza/2007)
ห
นังสยองขวัญแนวใหม่ (ตอนนี้ก็ยังใหม่อยู่มั้ง?) ที่มุมมองการเล่าเป็นแบบบุคคลที่หนึ่ง แบบเดียวกับ Cloverfield, Blair Witch Project และอีกหลายๆเรื่องที่ทำกันออกมาอย่างกับว่าเป็นกระแสเลยทีเดียว เสน่ห์ของการเล่าเรื่องแบบนี้คือความสมจริง เหมือนคนดูได้สัมผัสกับเหล่าซอมบี้นั้นจริงๆ กดดันจริงๆ ยิ่งชอบหนังซอมบี้อยู่แล้วด้วย ขอบอกว่าหนังเรื่องกดดันมากๆและสมจริงสุดขีด หนังมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างดีในตอนเริ่มต้น แต่ค่อนข้างน่าผิดหวังในตอนท้าย แต่ความน่ากลัวของมันทำให้ผมลืมสิ่งอื่นๆเหล่านั้นไป จนสามารถ enjoy หนังเรื่องนี้ได้จนจบและอินกับมันมากๆ ใจเต้นแรงตุ้บๆตลอดเวลา หนังเรื่องนี้ได้รับความนิยมมากในสเปนจนฮอลลีวูดซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างใหม่โดยใช้ชื่อว่า Quarantine ซึ่งผมยังไม่ได้ดูเวอร์ชันใหม่นี้ แต่ได้ข่าวมาว่าดูสนุกเช่นกัน
ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่ดูหนังเรื่องนี้ แต่เมื่อดูไปแล้วก็... "กลัว"สิครับ! กลัวมากๆ ทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นหนังเรื่องนี้น่ากลัวไปหมด เริ่มตั้งแต่เนื้อเรื่อง ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งท้อง สูญเสียสามีไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์ นั่นเป็นเหตุให้เธอต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านคนเดียว ปราศจากคนคอยดูแล แล้ววันหนึ่ง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาตามล่าเธอถึงบ้าน และดูเหมือนหญิงโรคจิตคนนี้จะมาด้วยจุดหมายคือเด็กในครรภ์ของเธอ! โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หนังเรื่องนี้ไม่มีไรที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์คนไหนมีความสุขได้ หนังเสนอชะตากรรมของหญิงมีครรภ์คนหนึ่ง ทรมาณทรกรรมอยู่ในบ้านตัวเอง เห็นเลือด เห็นฉากความเละเทะ เนื้อโดนกรีด มีแต่ความหดหู่ อยากช่วยนางเอกแต่ก็ช่วยไม่ได้ - - ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็น "ความสุข" เลยในหนังเรื่องนี้ ผมถึงไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกรึเปล่าที่นั่งดูหนังเรื่องนี้จนจบ แต่ในแง่ของความน่ากลัวแล้ว มันมีดีกรีอยู่สูงมากๆ ก็มันเป็นหนังสยองขวัญนี่น่า! หนังเรื่องนี้ทำเอาผมเกือบจะยกมือขึ้นมาปิดตา!!! ผมยกมือขึ้นมาแล้ว แต่ขึ้นมาได้แค่ที่ปาก แล้วก็ปล่อยมือวางลงตามเดิม มันน่ากลัวมาก โหดร้าย ทารุณ หดหู่ สงสาร ทุกอย่าง ตอนนี้ยังงงอยู่เลยว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรดีๆกับชีวิตผมบ้าง มีแต่การไล่ล่ากันอย่างเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ แต่มุมหนึ่งที่ผมได้เห็นจากหนังเรื่องนี้ก็คือ การที่คนเราคิดว่าเรากำลังอยู่อย่างปลอดภัยในบ้านของตัวเอง มีโทรศัพท์ มีสถานีตำรวจท้องที่ แต่เราจะไว้ใจความปลอดภัยเหล่านั้นได้มากแค่ไหน ในเมื่อตำรวจในหนังเรื่องนี้ยังช่วยอะไรนางเอกไม่ได้เลย ขนาดฆาตกรเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนนึง... อนาจใจจริงๆเลย
จุดมุ่งหมายของบทความนี้คือต้องการจะ "แชร์" ประสบการณ์การดูหนังของผมให้เพื่อนๆได้อ่านกัน (เพื่อความบันเทิง) ผมไม่ได้ต้องการจะวิจารณ์หนังเรื่องใด ไม่ต้องการบอกว่าผมเป็นผู้รอบรู้ใดๆ เพียงแต่ผมเป็นคนชอบดูหนัง ก็เลยอยากจะเล่าอะไรให้ใครๆฟังบ้าง (อะไรบ้าง) อีกอย่าง นึกหัวข้อไม่ออกว่าจะเขียนบล็อก entry ใหม่เป็นเรื่องอะไรดี แต่โดยปกติแล้ว บล็อกของผมก็มักจะเสนอเรื่องราวต่างๆ อะไรไม่รู้ คนอ่านก็งง คนเขียนก็งง เอ้า! ไหนๆก็งงแล้ว ก็งงซะให้ถึงที่สุด จุ๊กกรู้วววว!!
วกกลับไปที่ชื่อบทความ วันนี้ผมอยากมาจัดอันดับหนัง "สยองขวัญ" ที่ผมคิดว่าน่ากลัวที่สุดเท่าที่ชีวิตผมเคยดูมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ผมเป็นคนชอบดูหนังสยองขวัญ ชอบซะเหลือเกิน ตอนเด็กๆชอบหนังสยองขวัญมากๆ โดยเฉพาะหนังซอมบี้ มันทำให้ผมรู้จักการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองชอบ ใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาอะไรใหม่ๆ เจอแหล่งข้อมูลหนังอันเป็นประโยชน์มากมาย ในที่สุดมันก็สานต่อไปถึงหนังแนวอื่นๆ ไปจนถึงเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตตอนนี้ ผมพึ่งพาอินเตอร์เน็ตทั้งนั้น ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะหนังเรื่องเดียวที่ทำให้ผมได้นิสัยนี้มา นั่นคือหนังของ George A. Romero เรื่อง Night of the Living Dead ตอนนั้น Zack Snyder เอาหนังเรื่อง Dawn of the Dead มาสร้างใหม่ในปี 2004 นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มมีนิสัยชอบค้นหาหนังเก่าๆมาดู และมันก็ลิงค์ไปถึงหนังเรื่องอื่นๆ ทำให้ผมได้รู้จักหนัง สไตล์ของหนัง ผู้กำกับ นักแสดง ฯลฯ อีกมากมาย โดยเฉพาะในสายหนังสยองขวัญ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้สนใจอะไรมากมาย (ด้วยไม่เห็นเหตุจำเป็นที่จะต้องจดจำอะไรมากมาย - -) แต่ยอมรับว่าชอบจริงๆ ไอ้หนังพวกนี้ ยิ่งดูยิ่งมัน ยิ่งหายิ่งอยากหาอีก เอาเข้าไป! มีช่วงนึงเก็บไปฝันว่าตัวเองถูกซอมบี้ไล่ล่าอยู่ในหมู่บ้านตัวเองด้วยนะเออ!
แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่ใช่ "คนดูหนัง" ที่มีประสบการณ์โชกโชนอะไร เป็นเพียงมนุษย์ที่คอยเสาะหาความบันเทิงใส่ตัวเท่านั้น จะหาอะไรได้นอกเหนือจากความบันเทิงก็ถือเป็นโชคดีไป
เกริ่นนำมาซะยาวเลย เข้าเรื่องดีกว่า อย่างที่บอกว่าวันนี้จะมาจัดอันดับหนังสยองขวัญที่ผมคิดว่า "น่ากลัว" ที่สุดสำหรับผม ต้องบอกอีกอย่างนึงว่า ผมนั้น"แทบจะไม่"เคยกลัวหนังสยองขวัญเลย คือยากมาก ที่หนังเรื่องไหนจะทำให้ผมกลัว สะดุ้งตกใจพอมีบ้าง แต่ไม่เคยปิดตา ไม่เคยเก็บเอามาฝัน ไม่เคยเลยที่จะนอนคิดถึงฉากผีจูออนคลานเป็นคนพิการมาหา ส่วนใหญ่ดูจบแล้วจบเลย แต่มีหนังอยู่ส่วนหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในสมองของผม เพราะมันทำให้ผมรู้สึกกลัวได้จริงๆ อย่างไม่น่าเชื่อซะด้วย! แต่หนังกลุ่มนี้ช่างเป็นหนังกลุ่มเล็กซะเหลือเกิน นึกออกมาได้แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ผมจึงขอนำเสนอ Top Five ของผมแล้วกัน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครจะคิดว่าหนังเหล่านี้เป็นหนังที่ดี หรือไม่ดี ชอบ ไม่ชอบอย่างไร ผมยึดเอาความกลัวของผมเป็นหลัก และหนังเหล่านี้ไม่ได้จำกัดว่าเป็นหนังผีเท่านั้น แต่รวมถึงหนัง "สยองขวัญ" ทุกแขนง
และ 5 อันดับหนังเหล่านั้น ได้แก่...
อันดับ 5: เป็นชู้กับผี (วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง/2549)
นี่เป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่นึกออกในตอนนี้ มีหลายฉากที่ทำให้ผมขนลุกซู่ๆอย่างบอกไม่ถูก ด้วยบรรยากาศไทยๆ ผีสไตล์ไทยๆ ส่วนใหญ่ภาพที่เห็นเป็นภาพผีในจินตนาการของผมแทบทั้งหมด ตอนเด็กๆเวลาผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีให้ฟัง ก็จะนึกเป็นภาพผีแนวนี้ แบบไทยๆแบบนี้ พอเห็นมันเป็นตัวเป็นตน ขยับได้ หลอกหลอนได้แล้วก็เกิดอาการขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก โดยถือว่าเป็นหนังไทยที่ดีเรื่องหนึ่ง ด้วยเนื้อเรื่อง สไตล์ ฯลฯ มีฉากนึงในหนัง ที่นางเอกได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับตัวละครตัวหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้) ที่ศาลพระภูมิ ฉากนั้นแหละ ที่ทำให้ผมยังขนลุกทุกๆครั้งที่พูดถึงหรือเล่าให้ใครฟัง ตอนที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ก็ขนลุกอยู่นะ เนี่ย ดูสิๆๆ ดูแขนสิ...
อันดับ 4: Haute Tension - สับ สับ สับ (Alexandre Aja/2003)
หนังของผู้กำกับดาวรุ่ง (ณ

อันดับ 3: REC (Jaume Balaguero, Paco Plaza/2007)
ห

อันดับ 2: Paranormal Activity 1-2 (Oren Peli, Tod Williams/2007,2010)
เพิ่งไปดูภาคสองของ
มันมาเมื่อวานนี้เอง และผลปรากฏว่ามันทำให้ผมกลัว ขนลุก สะดุ้ง ครบครันทุกอย่าง เป็นหนังที่ใช้วิธีเล่าแบบเดียวกับหนังในอันดับ 3 แต่มีลูกเล่นแบบใหม่คือการใช้กล้องวงจรปิดเข้ามามีเอี่ยวด้วย ผมตัดสินใจรวมหนังทั้งสองภาคเข้าไว้ในอันดับเดียวกันเพราะมันน่าสนใจมากถ้าหากคุณดูหนังทั้งสองภาคต่อกัน จะเห็นได้ว่าเนื้อเรื่องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแยกกันไม่ออก เห็นการพัฒนาของการนำเสนอ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าภาคสองของหนังนั้นน่ากลัวกว่า เนื้อเรื่องทั้งสองภาคอาจมีจุดที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรมาก และหนังเรื่องนี้ทำให้ผมหลอนไปเป็นชั่วโมงเลยก็ว่าได้ และพอกลับถึงบ้านก็ลืม - - มีหลายๆฉากน่ากลัวๆ และมันเป็นเรื่องใกล้ตัวคือมันเกิดขึ้นในบ้านหลังหนึ่ง และจุดเด่นที่คนพูดถึงกันทั่วเลยของหนังเรื่องนี้ก็คือ มันไม่มีผีให้เห็นสักนิดเดียว! หนังใช้ส่วนประกอบอื่นๆเพื่อสร้างความน่ากลัว ทั้งเสียง ทั้งความเคลื่อนไหวของวัตถุต่างๆ บวกกับการแสดงของนักแสดงและมุมมองของกล้อง มันประกอบกันทำให้เรากลัวอย่างสุดขีด ถือเป็นหนังที่ชอบมากๆเรื่องหนึ่งเลย ชอบเพราะความน่ากลัวของมันนี่แหละ! อย่างอื่นไม่สนใจ ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้อีกรอบทั้งสองภาคต่อกันในวันเดียว ผมคงบ้าไปเลย ถึงวันนั้นก็ช่วยจับผมมัดไว้แล้วก็พาส่งสถานบำบัดด้วย หาอะไรให้กัดไว้ด้วยก็ดี

และ อันดับ 1: Inside (Alexandre Bustillo, Julian Maury/2007)

หนังทั้งหมดที่กล่าวมาคงทำให้ใครหลายคนเกิดความอยากดู หรือความกลัว หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมอยากฝากไว้ว่าให้ดูหนังด้วยความบันเทิงนะครับ อย่าคิดมากเกินไป เดี๋ยวเครียด แต่หลายๆครั้งหนังผีก็เป็นทางเลือกที่คนเรามักจะเลือกเพื่อให้ความบันเทิงกับตนเอง ทั้งๆที่ดูแล้วอาจจะเก็บไปฝันร้าย เสียสุขภาพจิตอีก ใครที่อยากดูหนังเหล่านี้ก็ลองหาดูครับ ยังมีหนังน่ากลัวๆอีกหลายเรื่องที่ผมยังนึกไม่ออก และอีกหลายที่ยังไม่ได้ดู แต่ผมขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่ามัน "ยาก" ถ้าหนังเรื่องไหนจะทำให้ผมกลัวจนต้องเอามือขึ้นมาปิดตาได้ ยากจริงๆ แต่ถ้าใครมาเล่นหลอกผีผมตอนกลางคืนมืดๆ อาจเห็นผมแต๋วแตกได้ง่ายๆ ใครมีหนังดีๆแนะนำกันดูบ้างนะครับ
เดี๋ยวคราวหน้ามาทำ list สดใสๆ 5 อันดับหนังรักในดวงใจบ้างดีกว่า :-p
วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553
Irreversible: อุโมงค์แคบๆ สีแดงๆ อะไรหมุนๆ มันหลอนนะเออ!!!

หลังจากได้ดูฉากข่มขืนใน Facebook ของพี่วะ (รุ่นพี่คนดังกล่าว) ไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้แบบเต็มๆมากขึ้นอีก เลยลองไปโหลดตัวอย่างดูในเว็บ Youtube ก็ยิ่งอยากดูมากขึ้นอีก! จากข้อมูลที่ไปสืบหามาเพิ่มเติม พบว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายในปี 2002 ได้รับเสียงตอบรับทุกรูปแบบ ทั้งชอบมาก เกลียดมาก ชมมาก ด่ามาก และยังได้รับรางวัลหลายรางวัล รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2002 ด้วย (แพ้ให้กับสุดยอดหนังของ Roman Polanski เรื่อง The Pianist) หนังเรื่องอื่นๆของตัวผู้กำกับเองก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆมากมาย หนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา 'I Stand Alone' (1998) ก็ได้รับรางวัลมามากมาย ถือได้ว่าชื่อชั้นของผู้กำกับคนนี้ ไม่ใช่ธรรมดาเลยทีเดียว แถม Irreversible ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่ "น่ากลัว" ที่สุดเรื่องหนึ่งของใครหลายๆคน (ดูจากหลายๆเว็บไซต์ ทั้งๆที่มันเป็นหนัง drama แท้ๆ) มีฉากน่ากลัวๆอยู่หลายฉาก จนคนดูหลายคนถึงกับทนดูหนังเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องลุกเดินออกไประหว่างที่หนังกำลังฉายอยู่เลยทีเดียว
Irreversible เป็นเรื่องราวของสามีภรรยาคู่หนึ่งคือมาร์คัส (Vincent Cassel) และอเล็กซ์ (Monica Bellucci) ที่มีชีวิตอันแสนสงบอยู่ดีๆ คืนหนึ่งทั้งคู่ก็ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง ฝ่ายหญิงตัดสินใจที่จะกลับบ้านด้วยตนเองโดยไม่รอสามีที่กำลังเมาเละเทะ และการตัดสินใจกลับบ้านคนเดียวครั้งนี้ทำให้เธอถูกข่มขืนและทำร้ายจนเละเทะในอุโมงค์ใต้ดินไม่ไกลจากสถานที่จัดปาร์ตี้มากนัก มาร์คัสเมื่อรู้เรื่องเหตุการณ์ดังกล่าวก็เสียสติ ไล่ตามล้างแค้นคนที่มาข่มขืนภรรยาของเขาอย่างถึงที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำลายชีวิตของเขาเองลงไปด้วย
เนื้อเรื่องดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงความประณีตของผู้กำกับและทีมงาน หนังถูกแบ่งเป็น 12 ฉากย่อย แต่ละฉากส่วนใหญ่ถ่ายทำในแบบ long-take ไม่มีการคัท หรือตัดต่อ แถมยังเล่าเรื่องย้อนหลังจากจุดจบไปสู่จุดเริ่มต้น ครึ่งแรกของหนังนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงจากการตามล่าล้างแค้นของมาร์คัส มาร์คัสไม่ได้พาเราไปหาตัวผู้ที่ข่มขืนแฟนสาวของเขาเพียงอย่างเดียว เขาพาเราไปสู่โลกแห่งความสกปรกโสมมที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของโลกอีกทีหนึ่ง มันคือสถานบริการของ"ชาวเกย์"ที่ดูสกปรก ดูเป็นที่มั่วสุมกันเละเทะอย่างไม่น่าเชื่อว่ามาร์คัสจะกล้าเดินเข้าไป มันเหมือนอุโมงค์ใต้ดินที่ไม่น่ามีใครรอดออกมาได้ (ผมไม่ได้กำลังโจมตีผู้ที่มีรสนิยมทางเพศแบบนั้นเลย เพียงภาพในหนังมันสื่อออกมาแบบนั้นจริงๆ) จากสถานที่ทำให้เรารู้ว่าตัวผู้ที่ข่มขืนอเล็กซ์ (Le Tenia หรือภาษาอังกฤษ The Tapeworm) นั้นจริงๆแล้วเป็น "เกย์" คนหนึ่ง และเขาต้องไม่ใช่แค่เกย์ธรรมดาๆ ต้องมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในวงการซะด้วย แต่ขอย้ำว่าสถานที่ที่ Tapeworm อยู่นั้นน่ากลัว น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ
ก่อนหน้าที่ฉากการล้างแค้นสุดโหดจะเกิดขึ้น มาร์คัสและเพื่อนของเขา (แสดงโดย Albert Dupontel) ออกตามหาตัวของ The Tapeworm อย่างบ้าคลั่ง หนังสื่อให้เห็นความบ้าบิ่น การสูญเสียความควบคุมตนเองของคนที่กำลังโกรธและมีจิตใจแห่งการแก้แค้น คนดูอาจไม่รู้สึกไปกับตัวละครเพราะการเล่าเรื่องย้อนหลัง แต่จากฉากและการแสดงของ Vincent Cassel (ในชีวิตจริงเป็นสามีตัวจริงของ Bellucci) ก็อาจทำให้คนดู "อิน" ไปกับพระเอกคนนี้ได้ ต่อไปหนังเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปตามลำดับ ตั้งแต่ฉากสุดสะเทือนใจที่มาร์คัสเห็นร่างของภรรยาตนเองที่ถูกทำร้ายจนเละเทะ ตามด้วยฉากข่มขืนที่ผมดูแล้วขอยอมรับเลยว่าน้ำตาจะไหลเพราะทำออกมาได้น่ากลัว น่าสะเทือนใจจริงๆ ตามด้วยฉากในงานเลี้ยงที่ทั้งสองมีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อย ต่อด้วยฉากชีวิตไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เหตุการณ์สะเทือนขวัญจะเกิดขึ้น ฉากชีวิตแสนสงบของตัวอเล็กซ์ที่ถือเป็นฉากจบ มันช่างสวยงาม แต่จากที่คนดูได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆไปแล้ว ทุกคนคงรู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นผ่านไปแล้ว ตอนนี้ชีวิตของทั้งคู่ได้พังทลายลงไปแล้ว ภาพการร่วมรักของทั้งคู่ที่ดูงดงามและอ่อนโยน เต็มไปด้วยความสุขนั้น แท้จริงถูกเหยียบย่ำจนแหลกไปแล้วโดยเกย์โรคจิตคนหนึ่ง วิธีการเล่าเรื่องช่างเข้ากับชื่อของหนัง "Irreversible" เป็นอย่างยิ่ง การเล่าเรื่องตามลำดับเวลาที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงนั้นยิ่งทำให้คนดูรู้สึกเจ็บปวดไปไม่น้อยกว่าตัวละครในเรื่องเลย
อีกหนึ่งผลจากการเล่าเรื่องย้อนหลังแบบนับจาก 10 ไปถึง 1 (มันย้อนหลังจริงๆ ขนาดเครดิตยังมาก่อนเลย) คืออรรถรสของคนดู มันเป็นการสร้าง 'suspense' อีกแบบหนึ่ง คนดูจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้แทนที่จะสงสัยตามหลักปกติว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การถ่ายภาพโดยกล้องที่หมุนไปหมุนมาจนน่าเวียนหัว โดยเฉพาะในช่วงต้นเรื่องและช่วงการเปลี่ยนฉาก บวกกับเสียงประกอบที่ฟังดูน่ารำคาญ สะท้อนสภาพของจิตใจของตัวมาร์คัสที่กำลังโกรธแค้น สับสนได้เป็นอย่างดี หากมาร์คัสไม่เมาเละเทะในงานปาร์ตี้แล้วปล่อยให้ภรรยาต้องเดินกลับบ้านคนเดียว หรือหากเขาไม่ตัดสินใจตามแก้แค้นเจ้าเกย์ Tapeworm ด้วยตนเอง จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร?
หนังยังมีรายละเอียดต่างๆอีกมากมายที่ท้าทายให้คนดูสังเกต แต่ถ้าหากเล่าทั้งหมดก็เกรงว่าจะเป็นการสปอยล์กันเปล่าๆ (บางจุดโดยเฉพาะในตอนต้นเรื่องนี่บอกไม่ได้เลย แต่เห็นแล้วอยากร้องไห้สุดๆ) เอาเป็นว่าหากใครชอบหนังประเภาทดราม่าเข้มข้นสุดขีดแบบเสนอภาพที่เป็น"จริง"สุดๆโดยไม่สนใจว่าผู้ชมจะรับได้หรือไม่จนคุณอาจรู้สึกอินไปกับตัวละครจนน้ำตาแทบไหลแล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งทั้งในแง่ของการเสนอภาพอันโหดเหี้ยมในซอกหลืบของสังคม การนำเสนอภาพความจริงอย่างซื่อตรง และยังเป็นอุธาหรณ์ในการใช้ชีวิตของทุกๆคนอีกด้วย และอีกแง่หนึ่งคือความแปลกใหม่ของการสร้างสรรค์ภาพยนตร์สักเรื่อง ถ้าใจแข็งและอยากรู้อยากเห็นมากพอ อย่าพลาดหนังเรื่องนี้เด็ดขาด!
ปล. - ขอบคุณพี่วะที่ทำให้รู้จักหนังเรื่องนี้
- 'Tapeworm' ชื่อของไอ้โรคจิตคนนั้น แปลว่า 'a long flat parasite which lives inside the bowels of humans and other animals' มันคือเชื้อโรคชนิดหนึ่งนั่นเอง (ไปแปลเต็มๆเอาเองนะ)
- ต้องไปหาหนังของ Gaspar Noe เรื่องอื่นๆมาดูเพิ่มเติมซะแล้ว
- ผู้หญิงอย่ากลับบ้านคนเดียวตอนดึกๆโดยเด็ดขาด! ด้วยความปรารถนาดี (จริงๆ)
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ความเป็นเพื่อน
มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอรู้ตัวอีกที เขาและเธอก็อยู่ใกล้กันเหลือเกิน
ตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองพบกัน ความเป็นเพื่อนก็ดึงแขนข้างหนึ่งของเขา และแขนข้างหนึ่งของเธอมาจับไว้ ให้ทั้งสองได้อยู่ใกล้ๆกัน เดินข้างกันบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความสุข โดยมีความเป็นเพื่อนเดินขั้นอยู่ตรงกลาง
เวลาผ่านไป คนทั้งสอง และความเป็นเพื่อน ก้าวเดินไปบนเส้นทางนั้น เมื่อเจออุปสรรค ทั้งสองก็ผ่านมันไปด้วยกัน เมื่อเจอความสุข ทั้งสองก็ยิ้มไปด้วยกันในช่วงเวลาเหล่านั้น และไม่ว่าทั้งสองจะเจอกับอุปสรรคที่หนักหนาแค่ไหน ความเป็นเพื่อนก็ไม่เคยปล่อยแขนทั้งสองออกจากมือเลย ทั้งสองจึงไม่เคยอยู่ห่างกัน
เวลาผ่านไป... ผ่านอุปสรรคและความสุขมากมาย แต่หนทางนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ ยิ่งนานเข้า ความเป็นเพื่อนก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด เพราะทั้งสองคนเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆจนความเป็นเพื่อนชักจะทนไม่ไหวแล้ว หายใจแทบจะไม่ได้แล้ว
ความเป็นเพื่อนจึงบอกทั้งสองว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ทั้งสองเดินจับมือกันและกันไปเลยดีกว่า ความเป็นเพื่อนจึงยอมถอยออกมา พื้นที่ตรงกลางระหว่างเขาและเธอจึงไม่มีอะไรมาขวางกั้นแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา ความเป็นเพื่อนก็ได้แต่เดินตามดูคนทั้งสองเดินไปบนเส้นทางสายเดิม บางครั้งความเป็นเพื่อนก็เดินอยู่ข้างหลัง บ้างก็อยู่ข้างหน้า บ้างก็อยู่ข้างๆ แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่เคยหนีไปไหน บางครั้งเขาและเธอเจอกับอุปสรรคที่แสนยากลำบาก บางครั้งทั้งสองก็เริ่มจะเดินออกห่างกันจนมือแทบจะหลุดออกจากกัน ความเป็นเพื่อนก็เข้ามาจับมือทั้งสองไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน
หลายครั้งที่ความเป็นเพื่อนรู้สึกว่าตัวเปลี่ยนไป แต่เขาอธิบายไม่ได้ ว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างไร แต่มันก็แอบได้ยินเขาและเธอคุยกันในบางครั้ง
... เขาและเธอให้ชื่อเจ้าความเป็นเพื่อนใหม่ เขาและเธอเรียกมันว่า "ความรัก" ...
เจ้า"ความรัก"ดีใจกับชื่อใหม่เป็นอย่างมาก และมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
แล้วเจ้าความรักก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่้อไป ในใจก็แอบหวังว่าทั้งเขาและเธอจะรักษาตัวมันไว้ ไม่ไล่มันไปไหน ให้มันได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป เดินต่อไปด้วยกัน
แล้วความรักก็... ยิ้ม :-)
ตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองพบกัน ความเป็นเพื่อนก็ดึงแขนข้างหนึ่งของเขา และแขนข้างหนึ่งของเธอมาจับไว้ ให้ทั้งสองได้อยู่ใกล้ๆกัน เดินข้างกันบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความสุข โดยมีความเป็นเพื่อนเดินขั้นอยู่ตรงกลาง
เวลาผ่านไป คนทั้งสอง และความเป็นเพื่อน ก้าวเดินไปบนเส้นทางนั้น เมื่อเจออุปสรรค ทั้งสองก็ผ่านมันไปด้วยกัน เมื่อเจอความสุข ทั้งสองก็ยิ้มไปด้วยกันในช่วงเวลาเหล่านั้น และไม่ว่าทั้งสองจะเจอกับอุปสรรคที่หนักหนาแค่ไหน ความเป็นเพื่อนก็ไม่เคยปล่อยแขนทั้งสองออกจากมือเลย ทั้งสองจึงไม่เคยอยู่ห่างกัน
เวลาผ่านไป... ผ่านอุปสรรคและความสุขมากมาย แต่หนทางนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ ยิ่งนานเข้า ความเป็นเพื่อนก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด เพราะทั้งสองคนเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆจนความเป็นเพื่อนชักจะทนไม่ไหวแล้ว หายใจแทบจะไม่ได้แล้ว
ความเป็นเพื่อนจึงบอกทั้งสองว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ทั้งสองเดินจับมือกันและกันไปเลยดีกว่า ความเป็นเพื่อนจึงยอมถอยออกมา พื้นที่ตรงกลางระหว่างเขาและเธอจึงไม่มีอะไรมาขวางกั้นแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา ความเป็นเพื่อนก็ได้แต่เดินตามดูคนทั้งสองเดินไปบนเส้นทางสายเดิม บางครั้งความเป็นเพื่อนก็เดินอยู่ข้างหลัง บ้างก็อยู่ข้างหน้า บ้างก็อยู่ข้างๆ แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่เคยหนีไปไหน บางครั้งเขาและเธอเจอกับอุปสรรคที่แสนยากลำบาก บางครั้งทั้งสองก็เริ่มจะเดินออกห่างกันจนมือแทบจะหลุดออกจากกัน ความเป็นเพื่อนก็เข้ามาจับมือทั้งสองไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน
หลายครั้งที่ความเป็นเพื่อนรู้สึกว่าตัวเปลี่ยนไป แต่เขาอธิบายไม่ได้ ว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างไร แต่มันก็แอบได้ยินเขาและเธอคุยกันในบางครั้ง
... เขาและเธอให้ชื่อเจ้าความเป็นเพื่อนใหม่ เขาและเธอเรียกมันว่า "ความรัก" ...
เจ้า"ความรัก"ดีใจกับชื่อใหม่เป็นอย่างมาก และมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
แล้วเจ้าความรักก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่้อไป ในใจก็แอบหวังว่าทั้งเขาและเธอจะรักษาตัวมันไว้ ไม่ไล่มันไปไหน ให้มันได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป เดินต่อไปด้วยกัน
แล้วความรักก็... ยิ้ม :-)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)