วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Irreversible: อุโมงค์แคบๆ สีแดงๆ อะไรหมุนๆ มันหลอนนะเออ!!!

ก่อนอื่นต้องบอกที่มาของการได้ดูหนังเรื่องนี้ก่อน ผมไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อของหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย ตอนแรกเห็นชื่อแล้วอ่านไม่ออกด้วยซ้ำ แต่ด้วยรุ่นพี่คนหนึ่งของผม เขานำเอาคลิปจากหนังเรื่องนี้มาแปะไว้ใน Facebook มันเป็นฉากหนึ่งของหนังที่ตัวนางเอกของเรื่องถูกข่มขืน! พร้อมทั้งมีคำอธิบายด้วยว่า เป็นฉากข่มขืนที่มีความยาวกว่า 9 นาที ไม่มีการตัดต่อ! และหนังเรื่องนี้เป็นหนังฝรั่งเศส ของผู้กำกับ Gaspar Noe เล่าเรื่องแบบเล่าย้อนกลับ จากฉากจบไปสู่ฉากเริ่มต้น ด้วยคำอธิบายเหล่านี้ ผมเกิดความกระหายอยากดูหนังเรื่องนี้แบบเต็มๆ อยากรู้จักกับมันซะเหลือเกิน ว่าแล้วผมก็เลยใช้วิธีการ "ดาวน์โหลด" หนังเรื่องนี้มาดูทันที (ขอโทษที่ไม่ยอมควักเงินให้กับอะไรทั้งสิ้น แถวบ้านเรียกงกนั่นเอง!)

หลังจากได้ดูฉากข่มขืนใน Facebook ของพี่วะ (รุ่นพี่คนดังกล่าว) ไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้แบบเต็มๆมากขึ้นอีก เลยลองไปโหลดตัวอย่างดูในเว็บ Youtube ก็ยิ่งอยากดูมากขึ้นอีก! จากข้อมูลที่ไปสืบหามาเพิ่มเติม พบว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายในปี 2002 ได้รับเสียงตอบรับทุกรูปแบบ ทั้งชอบมาก เกลียดมาก ชมมาก ด่ามาก และยังได้รับรางวัลหลายรางวัล รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2002 ด้วย (แพ้ให้กับสุดยอดหนังของ Roman Polanski เรื่อง The Pianist) หนังเรื่องอื่นๆของตัวผู้กำกับเองก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆมากมาย หนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา 'I Stand Alone' (1998) ก็ได้รับรางวัลมามากมาย ถือได้ว่าชื่อชั้นของผู้กำกับคนนี้ ไม่ใช่ธรรมดาเลยทีเดียว แถม Irreversible ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่ "น่ากลัว" ที่สุดเรื่องหนึ่งของใครหลายๆคน (ดูจากหลายๆเว็บไซต์ ทั้งๆที่มันเป็นหนัง drama แท้ๆ) มีฉากน่ากลัวๆอยู่หลายฉาก จนคนดูหลายคนถึงกับทนดูหนังเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องลุกเดินออกไประหว่างที่หนังกำลังฉายอยู่เลยทีเดียว

Irreversible เป็นเรื่องราวของสามีภรรยาคู่หนึ่งคือมาร์คัส (Vincent Cassel) และอเล็กซ์ (Monica Bellucci) ที่มีชีวิตอันแสนสงบอยู่ดีๆ คืนหนึ่งทั้งคู่ก็ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง ฝ่ายหญิงตัดสินใจที่จะกลับบ้านด้วยตนเองโดยไม่รอสามีที่กำลังเมาเละเทะ และการตัดสินใจกลับบ้านคนเดียวครั้งนี้ทำให้เธอถูกข่มขืนและทำร้ายจนเละเทะในอุโมงค์ใต้ดินไม่ไกลจากสถานที่จัดปาร์ตี้มากนัก มาร์คัสเมื่อรู้เรื่องเหตุการณ์ดังกล่าวก็เสียสติ ไล่ตามล้างแค้นคนที่มาข่มขืนภรรยาของเขาอย่างถึงที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำลายชีวิตของเขาเองลงไปด้วย

เนื้อเรื่องดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงความประณีตของผู้กำกับและทีมงาน หนังถูกแบ่งเป็น 12 ฉากย่อย แต่ละฉากส่วนใหญ่ถ่ายทำในแบบ long-take ไม่มีการคัท หรือตัดต่อ แถมยังเล่าเรื่องย้อนหลังจากจุดจบไปสู่จุดเริ่มต้น ครึ่งแรกของหนังนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงจากการตามล่าล้างแค้นของมาร์คัส มาร์คัสไม่ได้พาเราไปหาตัวผู้ที่ข่มขืนแฟนสาวของเขาเพียงอย่างเดียว เขาพาเราไปสู่โลกแห่งความสกปรกโสมมที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของโลกอีกทีหนึ่ง มันคือสถานบริการของ"ชาวเกย์"ที่ดูสกปรก ดูเป็นที่มั่วสุมกันเละเทะอย่างไม่น่าเชื่อว่ามาร์คัสจะกล้าเดินเข้าไป มันเหมือนอุโมงค์ใต้ดินที่ไม่น่ามีใครรอดออกมาได้ (ผมไม่ได้กำลังโจมตีผู้ที่มีรสนิยมทางเพศแบบนั้นเลย เพียงภาพในหนังมันสื่อออกมาแบบนั้นจริงๆ) จากสถานที่ทำให้เรารู้ว่าตัวผู้ที่ข่มขืนอเล็กซ์ (Le Tenia หรือภาษาอังกฤษ The Tapeworm) นั้นจริงๆแล้วเป็น "เกย์" คนหนึ่ง และเขาต้องไม่ใช่แค่เกย์ธรรมดาๆ ต้องมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในวงการซะด้วย แต่ขอย้ำว่าสถานที่ที่ Tapeworm อยู่นั้นน่ากลัว น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ

ก่อนหน้าที่ฉากการล้างแค้นสุดโหดจะเกิดขึ้น มาร์คัสและเพื่อนของเขา (แสดงโดย Albert Dupontel) ออกตามหาตัวของ The Tapeworm อย่างบ้าคลั่ง หนังสื่อให้เห็นความบ้าบิ่น การสูญเสียความควบคุมตนเองของคนที่กำลังโกรธและมีจิตใจแห่งการแก้แค้น คนดูอาจไม่รู้สึกไปกับตัวละครเพราะการเล่าเรื่องย้อนหลัง แต่จากฉากและการแสดงของ Vincent Cassel (ในชีวิตจริงเป็นสามีตัวจริงของ Bellucci) ก็อาจทำให้คนดู "อิน" ไปกับพระเอกคนนี้ได้ ต่อไปหนังเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปตามลำดับ ตั้งแต่ฉากสุดสะเทือนใจที่มาร์คัสเห็นร่างของภรรยาตนเองที่ถูกทำร้ายจนเละเทะ ตามด้วยฉากข่มขืนที่ผมดูแล้วขอยอมรับเลยว่าน้ำตาจะไหลเพราะทำออกมาได้น่ากลัว น่าสะเทือนใจจริงๆ ตามด้วยฉากในงานเลี้ยงที่ทั้งสองมีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อย ต่อด้วยฉากชีวิตไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เหตุการณ์สะเทือนขวัญจะเกิดขึ้น ฉากชีวิตแสนสงบของตัวอเล็กซ์ที่ถือเป็นฉากจบ มันช่างสวยงาม แต่จากที่คนดูได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆไปแล้ว ทุกคนคงรู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นผ่านไปแล้ว ตอนนี้ชีวิตของทั้งคู่ได้พังทลายลงไปแล้ว ภาพการร่วมรักของทั้งคู่ที่ดูงดงามและอ่อนโยน เต็มไปด้วยความสุขนั้น แท้จริงถูกเหยียบย่ำจนแหลกไปแล้วโดยเกย์โรคจิตคนหนึ่ง วิธีการเล่าเรื่องช่างเข้ากับชื่อของหนัง "Irreversible" เป็นอย่างยิ่ง การเล่าเรื่องตามลำดับเวลาที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงนั้นยิ่งทำให้คนดูรู้สึกเจ็บปวดไปไม่น้อยกว่าตัวละครในเรื่องเลย

อีกหนึ่งผลจากการเล่าเรื่องย้อนหลังแบบนับจาก 10 ไปถึง 1 (มันย้อนหลังจริงๆ ขนาดเครดิตยังมาก่อนเลย) คืออรรถรสของคนดู มันเป็นการสร้าง 'suspense' อีกแบบหนึ่ง คนดูจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้แทนที่จะสงสัยตามหลักปกติว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การถ่ายภาพโดยกล้องที่หมุนไปหมุนมาจนน่าเวียนหัว โดยเฉพาะในช่วงต้นเรื่องและช่วงการเปลี่ยนฉาก บวกกับเสียงประกอบที่ฟังดูน่ารำคาญ สะท้อนสภาพของจิตใจของตัวมาร์คัสที่กำลังโกรธแค้น สับสนได้เป็นอย่างดี หากมาร์คัสไม่เมาเละเทะในงานปาร์ตี้แล้วปล่อยให้ภรรยาต้องเดินกลับบ้านคนเดียว หรือหากเขาไม่ตัดสินใจตามแก้แค้นเจ้าเกย์ Tapeworm ด้วยตนเอง จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร?

หนังยังมีรายละเอียดต่างๆอีกมากมายที่ท้าทายให้คนดูสังเกต แต่ถ้าหากเล่าทั้งหมดก็เกรงว่าจะเป็นการสปอยล์กันเปล่าๆ (บางจุดโดยเฉพาะในตอนต้นเรื่องนี่บอกไม่ได้เลย แต่เห็นแล้วอยากร้องไห้สุดๆ) เอาเป็นว่าหากใครชอบหนังประเภาทดราม่าเข้มข้นสุดขีดแบบเสนอภาพที่เป็น"จริง"สุดๆโดยไม่สนใจว่าผู้ชมจะรับได้หรือไม่จนคุณอาจรู้สึกอินไปกับตัวละครจนน้ำตาแทบไหลแล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งทั้งในแง่ของการเสนอภาพอันโหดเหี้ยมในซอกหลืบของสังคม การนำเสนอภาพความจริงอย่างซื่อตรง และยังเป็นอุธาหรณ์ในการใช้ชีวิตของทุกๆคนอีกด้วย และอีกแง่หนึ่งคือความแปลกใหม่ของการสร้างสรรค์ภาพยนตร์สักเรื่อง ถ้าใจแข็งและอยากรู้อยากเห็นมากพอ อย่าพลาดหนังเรื่องนี้เด็ดขาด!

ปล. - ขอบคุณพี่วะที่ทำให้รู้จักหนังเรื่องนี้
- 'Tapeworm' ชื่อของไอ้โรคจิตคนนั้น แปลว่า 'a long flat parasite which lives inside the bowels of humans and other animals' มันคือเชื้อโรคชนิดหนึ่งนั่นเอง (ไปแปลเต็มๆเอาเองนะ)
- ต้องไปหาหนังของ Gaspar Noe เรื่องอื่นๆมาดูเพิ่มเติมซะแล้ว
- ผู้หญิงอย่ากลับบ้านคนเดียวตอนดึกๆโดยเด็ดขาด! ด้วยความปรารถนาดี (จริงๆ)

5 ความคิดเห็น:

  1. แอบอยากดู

    ไว้กลางวันๆหน่อยจะไปหาตัวอย่างหนังมาดู

    ตอบลบ
  2. ที่สุดแห่งความดิบเถื่อนแล้วเรื่องนี้

    ตอบลบ
  3. เป็นบทวิจารณ์ที่ลงรายละเอียดได้ดีกว่าบล็อกวิจารณ์ดังๆในไทยซะอีก ก่อนหน้านี้เสิร์ชหาเป็นชั่วโมงมีแต่พวกก็อปมาแปะแล้วแอ๊บทำบทวิจารณ์5-10บรรทัด ขาดๆเกินๆ แต่ของคุรลงรายละเอียดคลอบคลุมน่าอ่านและเป็นตัวของตัวเองดีค่ะ

    ตอบลบ
  4. กำลังช่างใจว่าจะโหลดเหมือนกัน (โหลดฟรี ฮ่าๆๆ) มาลองอ่านก่อน แต่กลัวทำใจไม่ได้ที่จะดู ขอบคุณที่ช่วยวิเคราะห์นะครับ

    ตอบลบ
  5. อยากรู้แต่ไม่อยากดูกลัวรับไม่ได้
    ขอบคุณสำหรับบทวิจารณ์มากๆนะคะ ละเอียดได้ใจจิงๆค่ะ^^

    ตอบลบ